About Me





ชื่อเล่น หนุ่ม
ชื่อ วาริชาติ คำเขียว

ส่วนสูงวัดเมื่อเดือนที่แล้ว 180 ซ.ม น้ำหนักชั่งเมื่อเช้า 72 ก.ก อายุ 19 ปี

สถานะ โสด

สถานศึกษา วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
สาขา ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารระหว่างประเทศ
Read More

Messi

'I always remember that,
English clubs are Physical & tough & they play strong for the whole game.
But afterwards they shake hands and they are fair.' - Leonel Messi
'ผมจำได้เสมอว่า
สโมสรฟุตบอลในอังกฤษเน้นการใช้สภาพร่างกายที่แข็งแกร่งและการเข้าปะทะที่รุนแรง
แต่เมื่อจบเกมพวกเขาก็หันมาจับมือกัน' - ลีโอเนล เมสซี่
      นับตั้งแต่สิ้นยุคของมหัศจรรย์ลูกหนังอาร์เจนไตน์ "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า ก็มีนักเตะพรสวรรค์สายเลือดใหม่มากมายที่ถูกเปรียบเทียบกับเทพเจ้าลูกหนังรายนี้ แต่ดูเหมือนว่าในที่สุดมาราโดน่า ก็ได้พบกับทายาทที่แท้จริงจนได้กับเจ้าหนูมหัศจรรย์ "ลิโอเนล เมสซี่"
     ลิโอเนล เมสซี่ หรือในชื่อเต็มว่า ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปี 1987 เป็นเมสซี่เป็นเด็กหนุ่มที่เกิดในแคว้นซานตา เฟ่ ที่เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนติน่า

     เจ้าหนูลิโอเนล หรือ "ลีโอ" เริ่มต้นเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ 5 ขวบ และได้อยู่กับสโมสรเล็กๆที่ชื่อว่า กรานโดลี่ ซึ่งมีพ่อเป็นโค้ชให้ จนกระทั่งในปี 1995 ก็ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เพื่อเรียนวิชาลูกหนังที่เข้มข้นกว่าเดิม
     เมื่อได้ย้ายมาสู่นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ สโมสรในระดับลีกสูงสุดของอาร์เจนติน่า เส้นทางของเจ้าหนูตัวเล็กรายนี้น่าจะไปได้สวยและมีโอกาสจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในอนาคตก้าวสู่เส้นทางลูกหนังตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยไปร่วมสังกัดนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์
     แต่ในขณะที่เมสซี่ กำลังจะไปได้ดี โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขาอย่างจัง เมื่อร่างกายที่เล็กเกินกว่าเพื่อนร่วมรุ่นขาดพัฒนาการ ร้อนถึงพ่อต้องจับตรวจและพบว่าเมสซี่ มีปัญหาในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกาย เนื่องจากฮอร์โมนบางตัวได้ขาดไป และพ่อแม่ของเขาก็ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาที่แสนแพงในอาร์เจนติน่าได้
     ในขณะที่หนทางกำลังจะตีบตัน ครอบครัวเมสซี่ ก็พบกับทางสว่าง เมื่อการ์เลส เรซัค ผู้อำนวยการด้านกีฬาของบาร์เซโลน่า ได้เห็นฟอร์มของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้และประทับใจกับพรสวรรค์ที่มีเหลือล้นในตัว เรซัค จึงได้ยื่นข้อเสนอให้ว่าทางบาร์เซโลน่า ยินดีที่จะจ่ายเงินค่ารักษาให้แต่ว่าเมสซี่ จะต้องไปอยู่ที่สเปน ครอบครัวเมสซี่ไม่ปฏิเสธโอกาสนั้น จึงได้ตัดสินใจเดินทางไปอยู่ที่สเปนพร้อมกันทั้งครอบครัว เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน
     ด้วยพรสวรรค์ ฝีเท้า และความเร็วในตัวเขา ทำให้เจ้าหนูเมสซี่ค่อยๆ ก้าวเป็นดาวเด่นในทีมระดับเยาวชนของบาร์ซ่า ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมบาร์เซโลน่า บี อย่างรวดเร็ว

       เส้นทางชีวิตของเมสซี่ ยังแรงและเร็วเหมือนจรวดทะยานขึ้นฟ้า เพียงแค่ไม่นานเขาก็กลายเป็นตัวหลักในทีมบี และทำผลงานเหลือเชื่อด้วยการยิงไปถึง 37 ประตูจากการเล่นแค่ 30 นัดเท่านั้น ฟอร์มการเล่นระดับนี้ไม่มีทางที่แฟรงค์ ไรจ์การ์ด นายใหญ่ทีม "เจ้าบุญทุ่ม" จะมองไม่เห็น และในปลายฤดูกาล 2004/05 ไรจ์การ์ด ก็เปิดทางให้เจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ได้เริ่มต้นลงมาสัมผัสเกมในทีมชุดใหญ่ ซึ่งเมสซี่ ก็ใช้เวลาไม่นานในการควานหาประตูแรกในนัดที่พบกับอัลบาเซเต้ ซึ่งก็เป็นประตูสุดสวยด้วยการกระดกข้ามหัวผู้รักษาเข้าไป และเป็นประตูที่ทำให้เมสซี่ เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงให้บาร์ซ่าได้ในวัย 17 ปี 10 เดือนกับอีก 7 วัน
     หลังจากที่ได้ประเดิมเกมกับบาร์ซ่าไปแล้ว เมสซี่ ก็กลับมาเป็นแกนหลักของทีมชาติเยาวชนของอาร์เจนติน่า หลังได้ปฏิเสธโอกาสที่จะเล่นให้ทีมชาติสเปนไปก่อนหน้านั้น และในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกที่เนเธอร์แลนด์ เมสซี่ ก็สร้างปรากฏการณ์ขึ้น เมื่อสามารถร่ายลีลาลูกหนังได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและทุกคนที่ได้เห็นก็ต้องอุทานว่านี่มันดีเอโก้ มาราโดน่า ที่เกิดใหม่ชัดๆ ซึ่งในรายการนี้เมสซี่ เป็นกำลังสำคัญที่สุดในการพาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์และคว้าทั้งรางวัลดาวซัลโวด้วยจำนวน 6 ประตู และยังได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการด้วย
     ทันทีที่จบรายการดังกล่าว บาร์ซ่า ก็จัดแจงต่อสัญญายาวให้เมสซี่จนถึงปี 2010 ทันที โดยมีเงื่อนไขในการย้ายทีมสูงถึง 150 ล้านยูโร มากกว่าโรนัลดินโญ่ รุ่นพี่ที่เป็นนักฟุตบอลหมายเลขหนึ่งของโลกถึงกว่า 30 ล้านยูโรเสียอีก และหลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 4 ส.ค.2005 เมสซี่ ก็ถูกโฮเซ่ เปเกร์มาน เทรนเนอร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า เรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ทันทีและได้ลงสนามนัดแรกทันทีในเกมกับทีมชาติฮังการี แต่ก็เป็นเกมประเดิมสนามที่เลวร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับเมสซี่ เมื่อถูกใบแดงไล่ออกจากสนามเพียงแค่ 40 วินาทีเท่านั้นหลังลงเล่นเนื่องจากผู้ตัดสิน มาร์คุส แมร์ก เห็นว่าไปชักศอกใส่วิลมอส วานซัค กองหลังทีมแม็กยาร์ที่พยายามดึงเสื้ออยู่ ทำให้เจ้าหนูมหัศจรรย์ต้องเดินออกจากสนามทั้งน้ำตา
     อย่างไรก็ตาม เมสซี่ ไม่ได้ท้อแท้มากนักและกลับมาลงสนามใหม่ให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่า ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับปารากวัย ในวันที่ 3 ก.ย. 2005 ซึ่งแม้จะได้เล่นเพียง 8 นาทีและแพ้ด้วยสกอร์ 1-0 แต่เมสซี่ ก็ถือว่านัดนี้เป็นการลงเล่นนัดแรกครั้งใหม่ของเขาในสีเสื้อฟ้าขาว ถัดมาไม่นานในวันที่ 25 ก.ย. เมสซี่ ก็ได้เป็นพลเมืองของประเทศสเปน ทำให้สามารถที่จะลงสนามให้กับทีมบาร์เซโลน่าได้อย่างไม่ติดขัดอีก หลังต้องอดทนรอข้างสนามมานานนับเดือนเนื่องจากทีมบาร์ซ่า มีนักเตะนอกโควต้าอียูเกินที่กำหนดแล้ว และเมสซี่ ก็ก้าวมาเป็นกำลังหลักในทีมของไรจ์การ์ดทันที ในฐานะสามเหลี่ยมมหัศจรรย์ร่วมกับซามูแอล เอโต้ และโรนัลดินโญ่ นำบาร์ซ่า คว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งลา ลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่ ในปีนี้เมสซี่ ยังได้รับรางวัลโกลเด้น บอย จากนิตยสารตุตโต้ สปอร์ตด้วย และชื่อของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ก็เป็นที่กล่าวขานกันในวงการฟุตบอล ซึ่งแทบไม่มีใครที่ไม่รู้จักลิโอเนล เมสซี่
        แต่ในปี 2006 เมสซี่ พบกับช่วงเวลาที่ไม่ดีนัก หลังกลับมาจากฟุตบอลโลกครั้งแรกในชีวิตด้วยความผิดหวังเนื่องจากอาร์เจนติน่า ต้องร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือเจ้าภาพเยอรมัน แต่ตัวเขาเองก็พอจะทำผลงานได้ดีไม่น้อยโดยยิงได้ 1 ประตูในเกมกับเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกร (ถล่มไป 6-0) และทำให้เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้

     หลังจากนั้น เมสซี่ เกิดโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับแวร์เดอร์ เบรเมน ถึงขั้นกระดูกเท้าแตกจนต้องพักการเล่นมาอย่างยาวนานหลายเดือนนับจากนั้น อย่างไรก็ตาม เมสซี่ กลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อทำแฮตทริกได้ในเกม "เอล กลาซิโก้" กับทีมเรอัล มาดริด ในนัดที่เสมอกับบาร์เซโลน่า 3-3 ที่คัมป์ นู ซึ่งทำให้เมสซี่ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในรอบนับสิบปีที่ทำแฮตทริกได้ในเกมนี้ นับตั้งแต่อีวาน ซาโมราโน่ ทำไว้เมื่อปี 1994-95 และหากนับของบาร์ซ่า ก็เป็นคนแรกตั้งแต่โรมาริโอ ทำได้เมื่อปี 1993-94 เลยทีเดียว และยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในเกมเอล กลาซิโก้ ด้วย
     แต่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมสซี่ เกิดขึ้นหลังจากนั้นเมื่อทำได้คนเดียว 2 ประตูในเกมโคป้า เดล เรย์ กับเคตาเฟ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประสุดอัศจรรย์ด้วยการลากเดี่ยวจากครึ่งสนามฝ่าผู้เล่นเคตาเฟ่ 6 คนเข้าไปทำประตูอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นประตูที่แทบจะถอดแบบประตูแห่งศตวรรษที่มาราโดน่า ทำได้ในฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติอังกฤษ ที่ถือเป็นประตูในตำนานตลอดกาลของฟุตบอลโลกเลยทีเดียว
 หลังจากนั้นได้มีการนำสองประตูที่ว่ามาเปรียบเทียบกันแบบช็อตต่อช็อต และพบว่าเป็นประตูที่มาจากพิมพ์เดียวกันจริงๆทั้งจำนวนระยะทางที่เท่ากัน (62 เมตร) และยังเป็นการเลื้อยผ่านผู้เล่นเท่ากันคือ 6 คน (รวมผู้รักษาประตู) ยิงประตูจากมุมเดียวกัน แถมยังวิ่งไปฉลองการทำประตูที่มุมธงเหมือนที่มาราโดน่าทำอีกต่างหาก สิ่งเดียวที่แตกต่างคือมาราโดน่า แปด้วยเท้าซ้าย ส่วนเมสซี่ ยิงหักข้อด้วยเท้าขวา
     หนังสือพิมพ์ในสเปนถึงกับให้ฉายาใหม่แก่เมสซี่ว่า "เมสซี่โดน่า" ทีเดียวกับตำนานบทใหม่นี้ และทุกฝ่ายก็ต่างจับตามองเส้นทางของเจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้
     นอกเหนือจากการลากเลี้ยงสไตย์บาร์เซโลนาแล้ว ผลงานของเมสซี่ในช่วง 2007-2008 ไม่ค่อยมีใครจดจำนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าทางทีมต้นสังกัด บาร์เซโลนา ไปไม่ถึงไหน ตกรอบทุกรายการรวมถึงโดนทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง เรอัล มาดริด แย่งแชมป์ไปด้วย ทำให้ไม่เป็นที่จับตามองเท่าไหร่นัก
     จนกระทั่งการเข้ามาคุมทีมของ โจเซ็ป กวาดิโอลาร์ และการจากไปของ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ โรนัลดินโญ่ เป๊บ กุนซือคนใหม่ ทำอีท่าไหนไม่มีใครทราบ ส่งให้เจ้าหนูตีนระเบิดจากอาร์เจนตินา ยิงไปในฤดูกาลเดียวทั้งสิ้น 38 ประตู จ่ายให้ยิงอีก 18 ในจำนวนการลงสนามทั้งสิ้น 51 นัด!!! มีส่วนช่วยให้ทีมเจ้าบุญทุ่ม คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาลที่ 2008/09
     ต่อมาในฤดูกาล 2009-10 เมสซี่ พาทีมบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ได้สำเร็จ และเขาก็ได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ในวันที่ 1 ธันวาคม 2009 โดยเฉือนเอาชนะ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปได้ ต่อมาในวันที่ 19 ธันวาคม เมสซี่ ก็ยิงประตูให้กับทีมเอาชนะ เอสตูเดียนเตส คว้าแชมป์ คลับ เวิลด์ คัพ ซึ่งเป็นแชมป์รายการที่ 6 ของ "เจ้าบุญทุ่ม" ในปีนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก จากการจัดอันดับของฟีฟ่ามาอีกด้วย ส่วนในลา ลีก้า เมสซี่ คว้านักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน เขาทำได้ 47 ประตูและส่งบอลให้เพื่อนยิงประตู 11 ครั้ง จากการแข่งขันทุกรายการในฤดูกาลนี้
     ในฤดูกาล 2010-11 เมสซี่ กดแฮตทริค ช่วยให้ บาร์เซโลน่า เอาชนะ เซบีย่า 4-0 กลับมาคว้าแชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ หลังจากที่พ่ายแพ้มาก่อน 1-3 ในนัดแรก และเขาก็คว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ได้อีกครั้ง โดยเอาชนะ ซาบี้ และ อินเนียสต้า เพื่อนร่วมทีมไป ตอนจบฤดูกาล เมสซี่ พาบาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ลา ลีก้าได้อีกครั้ง โดยที่เขายิงไปทั้งหมด 31 ประตู และส่งบอลให้เพื่อนยิงอีก 18 ครั้ง ส่วนใน ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก เขาก็พาทีมคว้าแชมป์มาได้เหมือนกัน โดยเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ในรอบ 6 ปีเลยทีเดียว ทำให้ เมสซี่ จบฤดูกาล 2010-11 ด้วยสถิติ ยิงประตูมากถึง 53 ประตู และส่งให้เพื่อนยิงอีก 24 ครั้ง เมื่อรวมทุกรายการ
     ต่อมา ฤดูกาล 2011-12 เมสซี่ ก็พาทีมคว้าแชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ ได้อีกครั้ง โดยเอาชนะอริตลอดกาล อย่าง เรอัล มาดริด ไปได้ และก็พาทีมเอาชนะ ปอร์โต้ คว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ
ได้อีกสมัย ต่อมา เขาก็ยิงประตูพา "เจ้าบุญทุ่ม" คว้าแชมป์ คลับ เวิลด์ คัพ ได้อีกเช่นกัน ส่งผลให้เขาสามารถคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ได้อีกครั้ง ซึ่ง เมสซี่ กลายเป็นนักเตะคนที่สี่ ที่คว้าบัลลง ดอร์ ได้ถึง 3 ครั้ง และก็เป็น 3 ครั้งติดต่อกันด้วย ในวันที่ 25 พฤษภาคม เมสซี่ ยิงประตูในนัดชิง โคปา เดล เรย์ ช่วยให้ บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ สมัยที่ 26 ในถ้วยใบนี้ได้สำเร็จ แต่ในลา ลีก้า นั้น เขาไม่สามารถช่วยทีมคว้าแชมป์มาได้ ต้องเสียแชมป์ไปให้กับ เรอัล มาดริด เขาได้รับรางวัลดาวซัลโว เป็นการปลอบใจ โดยเขาซัดไปถึง 50 ประตู เป็นสถิติใหม่ของลา ลีก้า เลยทีเดียว แต่เมื่อรวมทุกรายการในปีนี้ เมสซี่ ยิงไป 73 ประตู และส่งให้เพื่อนทำประตูอีก 29 ครั้ง ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
  ในฤดูกาล 2012-13 วันที่ 9 ธันวาคม เมสซี่ ยิง 2 ประตู ในเกมที่พบกับ เรอัล เบติส ซึ่งเป็นประตูที่ 85 และ 86 ของเขา ในปี 2012 นี้ ทำลายสถิติของ "ไอ้ลูกระเบิด" แกร์ด มุลเลอร์ ตำนานนักเตะชาวเยอรมัน ที่ยิงได้ 85 ประตู ตั้งแต่ปี 1972 ได้สำเร็จ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ตอนสิ้นปี 2012 เขายิงได้ทั้งหมดถึง 91 ประตู ทำให้เขาสามารถคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ได้อีกครั้ง เมสซี่ จึงกลายเป็นนักเตะคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้า บัลลง ดอร์ ได้ถึง 4 ครั้ง สำหรับในลา ลีก้า เขาพาทีมทวงแชมป์กลับมาจาก เรอัล มาดริด ได้สำเร็จ โดย บาร์เซโลน่า ทำคะแนนรวมในลีก ได้ถึง 100 คะแนน ถือเป็นสถิติใหม่ของสโมสร ทำให้ เมสซี่ จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดาวซัลโวอีกครั้ง เป็นการรับรางวัลนี้ 2 ปีซ้อน โดยยิงไป 46 ประตู และส่งให้เพื่อนทำประตูอีก 12 ครั้ง แต่ถ้ารวมทุกรายการในปีนี้ เขายิงไป 60 ประตู และผ่านบอลให้เพื่อนทำประตู 16 ครั้ง
     และในฤดูกาล 2013-14 นี้ เมสซี่ เปิดฤดูกาลด้วยการซัด 2 ประตู และส่งให้เพื่อนทำประตูอีก 1 ครั้ง ในนัดที่ถล่ม เลบานเต้ ไป 7-0 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม และต่อมาในวันที่ 1 กันยายน เขาก็ระเบิดแฮตทริคที่ 23 ในชีวิตการค้าแข้งของตัวเองได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ บาเลนเซีย ไป 3-2
     สำหรับในทีมชาติอาร์เจนติน่า เมสซี่ ก็เป็นกำลังหลักของทีมชาติอาร์เจนติน่าเรื่อยมาในทุกรายการ ถึงตอนนี้ เขาลงสนามในนามทีมชาติไปแล้วทั้งสิ้น 83 ครั้ง ยิงได้ทั้งหมด 37 ประตู
     คงไม่มีใครสงสัยถึงความสามารถของ เมสซี่ กันอีกแล้ว เพราะเขาคือ นักเตะจอมทำลายสถิติจริงๆ คงต้องรอดูกันต่อไปว่า เขาจะสร้างสถิติอะไรใหม่ๆ ขึ้นในวงการลูกหนังโลกอีกหรือไม่ แต่ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ยังมีเวลาให้ เมสซี่ สร้างสรรค์ความมหัศจรรย์ให้ทุกคนได้ดูอีกเหลือเฟือ



อ้างอิง=http://www.sport-idol.com/

Read More

Cristiano Ronaldo

    คริสเตียโน่ โรนัลโด้ "จอมสับขาจากโปรตุเกส"
        คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดอส ซานโต๊ส อเวโร่ หรือที่เรารูจักกันในนาม คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปี 1985 ที่เมืองฟันชัล มาเดร่า ประเทศโปรตุเกส โดยครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ที่ควินตา โด ฟาชาล เมืองซานโต อันโตนิโอ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรยากจนอาศัยอยู่มาก โรนัลโด้ เริ่มเล่นฟุตบอลบริเวณตามถนนที่นี่ ก่อนที่ พรสวรรค์ที่เต็มเปี่ยม บวกกับทักษะ และความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม สามารถเล่นได้ทั้งปีกขวา และปีกซ้าย จะฉายแวว และสร้างชื่อให้ โรนัลโด้  ได้รับการยกย่องให้ เป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกในปัจจุบันนี้
 อาชีพนักฟุตบอล

1993-2001 : เริ่มต้นอาชีพกับทีมเยาวชน
     โรนัลโด้ เริ่มเล่นฟุตบอลในขณะที่อายุเพียง 3 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังในทีมชุดใหญ่ของ ทีม Andorinha เมื่อตอนเขาอายุ 6 ขวบ จากการชักชวนของญาติเขาที่อยู่ในทีมนี้ และยังเป็นทีมที่บิดาของเขาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลชุดแข่งอีกด้วย พอถึงปี 1995 โรนัลโด้ ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับทีม Nacional โดยมีการจ่ายค่าตัวเป็นชุดฟุตบอลและลูกบอล หลังจากช่วย นาซิอองนาล คว้าแชมป์ระดับเยาวชนได้ โรนัลโด้ ในอายุ 12 ปี ก็ได้รับความสนใจจากสโมสรใหญ่ ๆ ของโปรตุเกสมากมาย แต่สุดท้าย โรนัลโด้ เลือกค้าแข้งกับ สปอร์ติง ลิสบอน ทีมโปรดของตัวเอง ในที่สุด

2001-2003 : สปอร์ติ้ง ลิสบอน
     โรนัลโด้ เริ่มอาชีพค้าแข้งกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน เมื่อปี 1997 ในทีมระดับเยาวชน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ชุดใหญ่ได้สำเร็จ  ในปี 2001 ภายหลัง พัฒนาฝีเท้าขึ้นจาก ทีมยู-16, ยู-17, ยู-18 และ ทีมชุดบี ตามลำดับ และเมื่อ อายุ 17 ปี โรนัลโด้ ได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ สปอร์ติ้ง เป็นครั้งแรก และยิง 2 ประตู ในเกมที่พบกับ โมไรเรนส์ และเขาก็ยังก้าวไปติดทีมชาติโปรตุเกสชุดอายุต่ำกว่า 17 ปีในศึกชิงแชมป์ยุโรป อีกด้วย

     หลังจากโชว์ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ยู-17 ชื่อของโรนัลโด้ ก็กลายเป็นที่รู้จักในนามของดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการฟุตบอลโปรตุเกส ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์, ทักษะ และความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม โดย เขาได้รับความสนใจจากหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีม เชราร์ด อุลลิเย่ร์ ที่ติดตามฝีเท้าของ โรนัลโด้ มาตั้งแต่ขณะที่เขามีอายุ 16 ปี แต่ก็มีอันล้มเลิก โดยให้เหตุผลว่า โรนัลโด้ ยังเด็กเกินไป และจำเป็นต้องใช้เวลาอีกซักระยะกว่าจะพัฒนาฝีเท้าเป็นนักฟุตบอลชั้นนำได้

     อย่างไรก็ดี ฝีเท้าของเขามาเตะตา เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงที่พา "ปีศาจแดง" ไปลงเตะอุ่นเครื่องกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2003/2004 ซึ่งนักเตะของ "ปีศาจแดง" โดนโรนัลโด้ ใช้ทักษะอันยอดเยี่ยม สร้างความปั่นป่วนให้ทั้งเกมการแข่งขัน และช่วยให้ สปอร์ติ้ง เอาชนะ ยอดทีมจากเกาะอังกฤษ ไปได้ 3-1 จนนำมาสู่การจัดการซื้อตัว โรนัลโด้ มาสู่ โอลด์ แทร๊ฟฟอร์ด ด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ (771 ล้านบาท) เพื่อมาเป็นตัวตายตัวแทนของ เดวิด เบ็คแฮม ที่ย้ายไปร่วมทีมรีล มาดริด

2003-2009: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

2003-2005: แจ้งเกิดได้อย่างงดงาม




       นับตั้งแต่ที่ โรนัลโด้ ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาก็ได้รับทั้งคำชื่นชมอย่างมากมายในเรื่องทักษะ ความสามารถส่วนตัวของเขา  โดยในฤดูกาล 2003-2004 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของ โรนัลโด้ เขาต้องพบกับความกดดัน  ในการเข้ามารับตำแหน่งหมายเลข 7 ของทีมต่อจาก เบ็คแฮม และบรรดานักเตะระดับตำนานของ "ปีศาจแดง" ที่เคยใช้เบอร์นี้ในสีเสื้อ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะเป็น เอริค คันโตน่า, จอร์จ เบสต์ หรือ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ท่ามกลางความคาดหวังอย่างมากจากแฟนบอล จนทำให้เขาเคยไปขอเปลี่ยนเบอร์เสื้อจากหมายเลข 7 กลับไปเป็นหมายเลข 28 ที่เขาเคยใส่ในสมัยที่อยู่กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน แต่ก็ถูกทางสโมสร ปฏิเสธ เพราะเชื่อว่า โรนัลโด้ เหมาะสมกับการสืบทอดตำนานหมายเลข 7 ของ "ปีศาจแดง" ต่อไป

     โรนัลโด้  ลงสนามให้ทีม”ปีศาจแดง” ครั้งแรกในเกมทีมถล่ม โบลตัน วันเดอเรอร์ส โดยเขาถูกเปลี่ยนเป็นตัวสำรองลงสนามในนาทีที่ 60 ของเกม และใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ชิพ และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกของเขา ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ที่เอาชนะ มิลล์วอลล์ 3-0 ที่มิลเลเนี่ยม สเตเดี้ยม ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Sir Matt Busby Player of the Year) ประจำฤดูกาล 2003/04





     ในฤดูกาลที่ 2 ของโรนัลโด้กับ ยูไนเต็ด โรนัลโด้ โชว์ฟอร์มไม่ดีเท่ากับปีแรก หลังจากที่จบฤดูกาลด้วยการลงสนาม 50 นัด แต่ทำได้แค่ 9 ประตู ซึ่งในปีนี้ เองที่ โรนัลโด้ โดนวิจารณ์ถึงสไตล์การเล่นที่ชอบโชว์ทักษะการเลี้ยงบอลผ่านคู่ต่อสู้ จนบางครั้งกลายเป็นการเล่นแบบไม่เป็นทีมเวิร์ค  อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2005/06 โรนัลโด้ ก็เรียกฟอร์มเก่งของตัวเองมาได้อีกครั้งในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง ด้วยการทำ 12 ประตู จากการลงสนาม 47 นัด และยังเป็นผู้ทำประตูที่ 1,000 ของ "ปีศาจแดง" ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่แพ้ มิดเดิ้ลสโบรช์ 1-4

    อย่างไรก็ตาม โรนัลโด้ ก็ยังพา "ปีศาจแดง" เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลคาร์ลิ่ง ลีก คัพ กับ วีแกน ได้สำเร็จ ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เอาชนะไปได้ โดยที่เขาทำประตูได้อีกด้วย ส่งผลให้ เขา คว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของฟิฟโปร (FIFPro Special Young Player of the Year 2005) ซึ่งเป็นรางวัลเดียวที่ให้แฟนๆ เป็นผู้ลงคะแนนโหวตตัดสินไปครอง และในปีเดียวกันเขาก็ได้อันดับที่ 20 ในตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าด้วย



     ในปี 2006  โรนัลโด้ กับ รุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าเพื่อนร่วมทีม "ปีศาจแดง" มีเรื่องทะเลาะกันในสนามซ้อมคาร์ริงตัน โร้ด ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เคยมีข่าวลือว่า โรนัลโด้ จะโดนขายไปให้กับ ยูเวนตุส ทีมยักษ์ใหญ่ของอิตาลี ด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,260 ล้านบาท) แต่นั่นก็เป็นแค่ข่าวลือ ก่อนที่ โรนัลโด้ จะต่อสัญญากับทีมออกไปจนถึงปี 2010

2006-2007 : คว้านักเตะยอดเยี่ยมของเกาะอังกฤษ

     แม้ว่า หลังศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน โรนัลโด้ ถูกแฟนบอลอังกฤษรุมโห่ไล่หลังจากที่มีส่วนทำให้ เวย์น รูนี่ย์ เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องถูกไล่ออกในเกมที่อังกฤษพบกับโปรตุเกส โรนัลโด้ถูกสื่อในอังกฤษกดดันและต่อว่า อย่างไรก็ดี โรนัลโด้ยังคงเล่นให้กับทีม “ปีศาจแดง” ต่อไป และเขาก็พาทีมออกสตาร์ตฤดูกาล 2006-2007 ได้อย่างสวยหรู ด้วยการถล่ม ฟูแล่ม ไปถึง 5-1 หลังจากนั้น โรนัลโด้ ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีอิทธิพลต่อทีมยูไนเต็ดมากที่สุด หลังจากซัดไปด 6 ประตู จากการลงสนาม 3 นัด ซึ่งส่งผลให้เขาทำประตูรวมไปแล้ว 12 ลูก ก่อนที่จะมายิงเพิ่มได้อีก 2 ลูกในเกม ที่พบกับ วีแกน


     ในเดือน ธันวาคม โรนัลโด้ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือน ไปครอง  ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้แล่นคนที่สามที่ทำเช่นนี้ ได้ ต่อจาก เดนนิส เบิร์กแคมป์ (อาร์เซน่อล, 1997) และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (ลิเวอร์พูล, 1996) ตามลำดับ และโรนัลโด้ ก็มายิงประตูที่ 50 ในสีเสื้อ “เร้ดเดวิลส์” ได้สำเร็จ ในเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมกับช่วยให้ต้นสังกัดกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี

    ในเดือน เมษายน 2007 โรนัลโด้ ตกเป็นข่าวว่า กำลังถูก เรอัล มาดริด ให้ความสนใจคว้าตัวไปร่วมทีม  โดยทีมยักษ์ใหญ่จากศึกลาลีกา สเปน ยินดีควักกระเป๋า 54 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,402 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าตัวของโรนัดด้ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 13 เมษายน โรนัลโด้ ก็ต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมออกไปอีก 5 ปี พร้อมกับรับค่าเหนื่อยสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ที่ 120,000 แสนปอนด์ (ประมาณ 7.56 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์

     นอกจากนี้ โรนัลโด้ ยังคว้ารางวัลให้กับตนเองมากมายในฤดูกาล 2006-20007 ไม่ว่าจะเป็น นักฟุตบอลยอดเยี่ยมและนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) (เป็นผู้เล่นรายที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ที่สามารถคว้ารางวัลเกียรติยศทั้งสองมาครอบครองในเวลาเดียวกัน  ต่อจาก แอนดี้ เกรย์ เคยทำได้เมื่อปี 1977 หรือ ราว 30 ปี) รวมถึงมีชื่อติดหนึ่งในทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล ร่วมกับเพื่อนทีม ยูไนเต็อีก 7 คน จากการโหวดของแฟนบอลทั่วสหราชอาณาจักร ยิ่งไปกว่านั้น โรนัลโด้ ยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลโปรตุเกสยอดเยี่ยมแห่งปี, รางวัลจากสมาคมนักข่าวกีฬาอังกฤษ, นักเตะยอดเยี่ยมของสโสมสรและของแฟนบอลยูไนเต็ด อีกด้วย

2007-2008 : พาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์

     โรนัลโด้ ออกสตาร์ตฤดูกาลนี้ได้อย่างย่ำแย่ หลังโดนไล่ออกในเกมที่พบกับ พอร์ทสมัธ ก่อนที่จะกลับมายิงประตูให้ทีมเอาชนะ สปอร์ติ้ง ลิสบอน อดีตต้นสังกัดเดิม ได้สำเร็จ ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม หลังจากนั้น ประตูจากปลายสตั๊ดของ โรนัลโด้ ก็ไหลมาเทมาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในยุโรป บอลลีก หรือ บอลถ้วย ส่งผลให้ทีม “ปีศาจแดง” ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดช่วงครึ่งฤดูกาลแรก

     ในวันที่ 2 ธันวาคม โรนัลโด้ ได้รับการประกาศให้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปเป็นอันดับ 2 รองจาก ริคาร์โด้ กาก้า เพลย์เมกเกอร์จอมทัพของ เอซี มิลาน ก่อนที่ถัดมาอีก 2 สัปดาห์ โรนัลโด้ ก็ถูกประกาศให้คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกอันดับ 3 รองจาก กาก้า อันดับ 1 และ ลีโอเนล เมสซี่  อันดับ 2 ตามลำดับ



   โรนัลโด้ ยังคงโชว์ฟอร์มให้กับ ยูไนเต็ด ได้อย่างร้อนแรงต่อไป และเขาก็สามารถทำแฮตทริกแรกของเขากับ ยูเนเต็ด ได้ ในเกมที่ถล่ม นิวคาสเซิ่ล 6-0 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ ในวันที่ 12 มกราคม 2008  และเป็นผลการแข่งขันที่ทำให้ ยูไนเต็ด ก้าวขั้นมาครองอันดับ 1 ของตารางพรีเมียร์ชิพได้สำเร็จ  ขณะที่ฟอร์มการผลิตประตูของ โรนัลโด้ ก็ยังทำงานอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีตก โดยตอนนี้ เขายิงประตูให้ทีมรวมไปแล้ว 23 ประตู เทียบเท่ากับ ในซีซั่นก่อน ก่อนที่ในที่สุด ในวันที่ 19 มีนาคม 2008  โรนัลโด้ จะสร้างสถิติเป็นนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ทำประตูได้มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล โดยทำลายสถิติเดิมของ จอร์จ เบสต์ อดีตดาวเตะระดับตำนานของ “ปีศาจแดง” ที่เคยทำไว้ที่ 32 ประตู ในระหว่างปี 1967-68
     โรนัลโด้ ถูก เรอัล มาดริด ให้ความสนใจอีกครั้ง โดยคราวนี้ ทีม “ราชันชุดขาว” ประกาศพร้อมทุ่ม 100 ล้านปอนด์ (6,300 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว โรนัลโด้ ไปร่วมทีม แต่ทว่า ก็โดน ยูไนเต็ด ปฏิเสธหน้าหงายไปอย่างไม่ใยดี และในวันที่ 10 พฤษภาคม 2008 โรนัลโด้ สามารถยิงประตูสำคัญในเกมนัดสุดท้าย ที่พบกับ วีแกน ให้ทีมออกนำไปได้ 1-0 จากลูกจุดโทษ ซึ่งถือเป็นประตูรวมที่ 41 และประตูที่ 31 ในศึกพรีเมียร์ชิพ ของเขาแล้วในซีซั่นนี้ ก่อนที่จะมาบวกเพิ่มให้กับตนเองได้อีกหนึ่งลูกในนัดชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เอาชนะ เชลซี มาได้ ด้วยการดวลจุดโทษ 6-5 ซึ่งถือเป็นถ้วยรางวัลใบทีสองของ ยูไนเต็ด หลังจาก ที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพมาครองได้แล้ว ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ โรนัลโด้ มีสถิติการยิงประตูเป็นรอง รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ทำไว้ในปี 2002-2003 อยู่เพียง 2 ลูกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นผลงานที่ดีพอที่จะทำให้ โรนัลโด้ คว้ารางวัล รองเท้าทองคำประจำฤดูกาล 2007-2008 มาครองได้สำเร็จ

เรอัล มาดริด
      โรนัลโด้ ย้ายมาร่วมทีม เรอัล มาดริด อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2009 หลังจากตกลงจรดปากกาเซ็นสัญญากับทาง "ราชันชุดขาว" เป็นเวลา 6 ปี พร้อมกับได้รับค่าเหนื่อยถึง 13 ล้านยูโร (520 ล้านบาท) ต่อซีซั่น รวมถึงค่าฉีกสัญาสูงลิบถึง 1 พันล้ายูโร (40000 ล้านบาท)

      วันเปิดตัว "ซีอาร์9" ปรากฏว่ามีสาวกมาดริดิสต้า ไปรอต้อนรับที่ซานติเอโก้ เบร์นาเบว กว่า 80000 คนเลยทีเดียว เป็นการทำลายสิถิติแฟนบอลนาโปลี ที่เคยแห่ไปต้อนรับดีเอโก้ มาราโดน่า 75000 คนเมื่อครั้งย้ายจาก บาร์เซโลน่า ไปเล่นในเซเรีย อา เมื่อปี 1984

      โรนัลโด้ ลงเล่นให้ต้นสังกัดครั้งแรกในเกมอุ่นเครื่องกับแชมร็อค ที่ไอร์แลนด์ ก่อนจะประเดิมเกมลีกในนัดที่พบกับ ลา กอรุนญ่า ในวันที่ 29 สิงหาคม ซึ่งเจ้าตัวซัดประตูได้ทันทีอีกด้วย โดยในฤดูกาลแรกนี้ โรนัลโดทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการลงเล่นเป็นตังจริงทั้งหมด ถึง 35 นัด ทำประตูไปได้ 33 ประตู ซึ่งครองดาวซัลโวสูงสุดของ ลา ลีกา ในฤดูกาลนั้น โดยโรนัลโด้ลงเล่นในตำแหน่ง กองหน้า และบางครั้งเขาอาจจะเล่นในตำแหน่ง ปีกซ้าย

      พอเข้าสู่ฤดูกาลที่ 2010-11 โรนัลโด้ เขาได้ถูกเปลี่ยนไปใส่เบอร์ 7 และพร้อมกับกุนซือคนใหม่ โชเซ่ มูรินโญ่ เทรนเนอร์ชาวโปรตุเกสที่รู้จักในตัวของโรนัลโด้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ "เจ็ทโด้" เค้นฟอร์มเก่งออกมาเรื่อยๆ ในวันที่ 23 ตุลาคม 2010 เจ้าตัวเหมาคนเดียว 4 ประตู ทำให้เรอัล มาดริดถล่มราซิ่งฯ ไป 4-0 ทว่าไฮไลต์สำคัญในซีซั่นดังกล่าว คือเกมพ่าย บาร์เซโลนา คู่ปรับร่วมลีกถึง 0-5 ที่คัมป์นู

ฤดูกาล 2011-12 ความสำเร็จและการพัฒนาระหว่าง มาดริด กับ โรนัลโด เป็นไปอย่างก้าวกระโดด โดยฤดูกาลนี้ "ซีอาร์7" กดไปถึง 60 ประตู (รวมทุกรายการ) และยังสามารถทะลุไปถึงรอบรองชนะเลิศ ยูซีแดล แต่ก็แพ้บาเยิร์นมิวนิก ไป 1-3 จากการดวลจุดโทษ อย่างไรก็ตาม โรนัลโดก็สามารถนำทีมได้แชมป์ ลาลีกา ได้เป็นครั้งที่ 32 ของสโมสร

      ส่วนในซีซั่นล่าสุด ภาพรวมของเรอัล มาดริด ตกต่ำมาก เพราะไม่มีโทรฟี่ติดมือแม้แต่รายการเดียว แถมยังมีการแบ่งแยกพรรคพวกกันด้วย อีกทั้ง โรนัลโด้ กลับไม่กินเส้นกับทางด้าน มูรินโญ่ อีกต่างหาก ส่งผลให้ เฮดโค้ชจากแดนฝอยทอง โดนปลดออกจากตำแหน่งไปในท้ายที่สุด ขณะที่ดาวยิงโปรตุกีส ก็ตกเป็นข่าวย้ายทีมทันที เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน โดยเป้าหมายอยู่ที่ทีมเก่าอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ทว่าล่าสุดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม โรนัลโด้ ออกมายืนยันแล้วว่า คงหมดโอาสกลับรังเก่าแน่นอนแล้ว
วันที่ 18 สิงหาคม 2013 โรนัลโด้ ลงสนามครบ 200 เกมให้กับเรอัล มาดริด ในนัดเปิดบ้านชนะเรอัล เบติส 2-1 แต่ "เจ็ทโด้" ทำประตูในเกมดังกล่าวไม่ได้ อย่างไรก็ตาม โรนัลโด้ เบิกประตูแรกให้ตัวเองในซีซั่นนี้ได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2013 ในแมตช์ถล่มแอธ.บิลเบา 31

     จากนั้น โรนัลโด้ ตัดสินใจฝากอนาคตไว้กับ "ราชันชุดขาว" ด้วยการต่อสัญญายาวถึงปี 2018 พร้อมค่าเหนื่อยสูงถึง 17 ล้านยูโรต่อปี (ประมาณ 765 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุด จากนั้น วันที่ 17 กันยายน 2013 ดาวยิงโปรตุกีส สามารถกดแฮตทริกครั้งที่สองของในชีวิตการค้าแข้งของตัวเอง ซึ่งเกิดขึ้นในศึกยูซีแอล รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรกที่ไล่ต้อน กาลาซาตาราย 6-1

     โรนัลโด้ ลงสนามครบนัดที่ 100 ให้กับตัวเอง ในศึกชปล. เป็นการพบกับ โคเปนเฮเก้น เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2013 และหนูโด้ ก็พา มาดริด ชนะตัวแทนจากเดนมาร์ก กระเจิง 4-0 ในซานติเอโก้ เบร์นาเบว และในวันที่ 26 ตุลาคม 2013 โรนัลโด้ เหมาคนเดียวสองตุง ในแมตช์เปิดบ้านทุบยูเวนตุส 2-1 เท่ากับว่า "เจ็ทโด้" ทำประตูในรายการดังกล่าวไปทั้งสิ้น 57 ลูก มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ตลอดการหากนับเฉพาะประตูในศึกยุโรป

ทีมชาติโปรตุเกส
     สำหรับเส้นทางในทีมชาติโปรตุเกส โรนัลโด้ ติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ในการเล่นให้ทีมชาติโปรตุเกส ชุดยู-17, ยู-18 และ ยู-21 ปี ตามลำดับ ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ครั้งแรก ในนัดที่พบกับ คาซัคสถาน เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2003 รวมถึงยังได้ติดทีมแดนฝอยทอง ลงทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ปี 2004 ซึ่งประเทศบ้านเกิดของเขาเป็นเจ้าภาพเอง อีกด้วย และเขาก็สามารถทำประตูได้ในนัดเปิดสนามที่ โปรตุเกส แพ้ กรีซ 1-2

   อย่างไรก็ตาม ทีมเจ้าภาพก็ยังดิ้นรนผ่านเข้ารอบต่อไปจนได้ จนมาถึงในรอบรองชนะเลิศ โปรตุเกส ต้องเจอกับ ฮอลแลนด์ ซึ่งพวกเขาก็สามารถเอาชนะไปได้ 2-1 โดยที่ โรนัลโด้ เป็นผู้ยิงประตูแรกให้กับทีมเจ้าถิ่น ทำให้ โปรตุเกส ได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ พบกับ กรีซ อีกครั้ง และทีมเจ้าถิ่นก็ถูก กรีซ ยัดเยียดความปราชัยให้อีกครั้ง ชวดแชมป์ไปแบบพลิกความคาดหมาย

    นอกจากทีมชาติชุดใหญ่แล้ว โรนัลโด้ ยังลงเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกสชุดโอลิมปิก 2004 อีกด้วย โดยตอนนี้เขาลงสนามให้กับทีมชาติไป 24 นัด ทำได้ 10 ประตู โดยในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก โซนยุโรป เขายิงได้ถึง 7 ประตู เป็นรองดาวซัลโวของโซนนี้ รองจาก เปโดร เปาเลต้า กองหน้าทีมเดียวกัน และโรนัลโด้ ก็ยิงประตูแรกในเกมฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน ได้ในเกมที่พบกับ อิหร่าน ในรอบแบ่งกลุ่ม และมีส่วนสำคัญพาทีมสู่รอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จ ก่อนที่ทีมชาติ โปรตุเกส จะจอดป้ายแค่เพียงรอบนี้ เท่านั้น

    เข้าสู่การแข่งขันในทัวร์นาเม้นต์ ฟุตบอลยูโร 2008 รอบคัดเลือก โรนัลโด้ มีเป็นผู้เล่นกำลังสำคัญที่ผ่านทีมผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ที่ประเทศ ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ ได้สำเร็จ โดยเขายิงไปทั้งสิ้น 8 ลูก รวมถึงทำได้ 1 ประตู และจ่าย 1 ประตู ในเกมรอบสุดท้าย ในรอบแบ่งกลุ่ม ที่ทีมเอาชนะ  สาธารณรัฐเช็ก มาได้อย่างสวยงาม 3-1 พร้อมกับพาทีมเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ ก่อนจะไปพ่ายให้กับเยอรมัน 1-2 ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2013 โรนัลโด้ ยิงประตูทีมเยือนครบ 100 ให้กับตัวเอง ในเกมยกพลเฉือนราโย่ 3-2 ส่งผลให้ดาวเตะฝอยทอง มีค่าเฉลี่ยยิงประตู สูงถึง 0.94 ต่อเกม และล่าสุด โรนัลโด้ ยิงแฮตทริกอีกครั้งในแมตช์เปิดบ้านถล่มเรอัล โซเซียดาด 5-1

งานอื่น


    ด้วยความสามารถและความโด่งดัง จึงมีเอเย่นต์สนใจเขามาเป็นพรีเซนเตอร์อยู่หลายชิ้น ภาพลักษณ์ของโรนัลโด้สร้างความสำเร็จให้กับการตลาดมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น วิดีโอเกมต่าง ๆ ไปจนโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ความหล่อเหลาของเขาก็ยังทำให้เขาได้รับการติดต่อจากนิตยสารแฟชั่นอีกด้วย นิตยสารโวกของอเมริกา นำเสนอเขาไปเป็นแบบปก และเขายังเป็นพรีเซนเตอร์ให้ผลิตภัณฑ์รองเท้ากีฬาอย่าง ไนกี้ โดยทางไนกี้เล็งเห็นว่าโรนัลโด้มีฝีเท้าที่เป็นนักเตะที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก จึงได้คุยกับโรนัลโด้เพื่อผลิตรองเท้าที่เบา พัฒนารองเท้า รองเท้ารุ่น Mercurial Vapor ออกมา

เกียรติยศที่ได้รับของ โรนัลโด้

ระดับสโมสร

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แชมป์พรีเมียร์ลีก: 2006-07, 2007-08, รองแชมป์: 2005-06
แชมป์เอฟเอคัพ: 2003-04, รองแชมปื: 2004-05, 2006-07
แชมป์ลีกคัพ: 2005-06
คอมมูนิตี้ ชีลด์: 2007
ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก: 2007-08

เรอัล มาดริด
แชมป์ลาลีกา : 2011-12
แชมป์ โกปา เดล เรย์ : 2010-11
แชมป์ซูเปอร์คัพ สเปน : 2012

ทีมชาติโปรตุเกส
ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป : รองแชมป์ปี 2004
เวิร์ลดคัพ : อันดับ 4 ปี 2006




อ้างอิงhttp://www.sport-idol.com/





Read More

Kun Aguero

ชื่อ : เซร์จิโอ ลีโอเนล อเกวโร่

เชื้อชาติ : อาร์เจนติน่า

วันเกิด : 2 มิถุนายน 1988

อายุ : 25 ปี

สถานที่เกิด : เมืองกิลเมส ประเทศอาร์เจนติน่า

ส่วนสูง : 172 ซม.

ต้นสังกัด : แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ตำแหน่ง : กองหน้า

      เส้นทางชีวิตของ อเกวโร่ เริ่มต้นกับสโมสรฟุตบอลในบ้านเกิดอย่างอินดิเพนเดียนเต้ และสร้างปรากฏการณ์ด้วยการเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงสนามในลีกฟุตบอลอาร์เจนติน่า ในเกมกับ ซาน ลอเรนโซ่ ด้วยวัยเพียงแค่ 15 ปี กับอีก 35 วัน เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2003 ที่เป็นที่ฮือฮาก็คือ อเกวโร่ ได้ทำลายสถิตินักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดตลอดกาลที่มีเจ้าของเดิมชื่อ ดีเอโก้ อาร์มันโด มาราโดน่า ตำนานเทพเจ้าลูกหนังของชาวอาร์เจนติน่า

ผลงานของ อเกวโร่ โดดเด่นอย่างมากตลอดระยะเวลา 3 ปีกับ อินดิเพนเดียนเต้ โดยค่อยๆ ปักหลักเป็นกองหน้าตัวหลักของทีม และทำผลงานได้ดีโดยยิงได้ถึง 23 ประตูจากการเล่น 53 นัด แน่นอนว่ารัศมีของ "เอล กุน" ที่เป็นสมญาที่ได้จากการที่เป็นคนชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น (กุน ก็คือ "คุง" ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง) เข้าตาของสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปเข้าอย่างจัง

        หนึ่งในสโมสรแรกๆ ที่มีการอ้างถึง อเกวโร่ ก็คือทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ที่เจ้าตัวเองเคยยอมรับว่าสนใจอยากย้ายมาเล่นในแอนฟิลด์ใจจะขาด แต่สุดท้ายทางด้านราฟาเอล เบนิเตซ นายใหญ่หงส์แดงในเวลานั้น ก็ปฏิเสธข่าวดังกล่าวว่าลิเวอร์พูล ไม่สนใจกองหน้าดาวรุ่งรายนี้ที่คาดว่าจะมีค่าตัวถึงหลัก 10 ล้านปอนด์แต่อย่างใด เมื่อถึงเดือน เม.ย.2006 ก็มีข่าวด่วนว่าเป็น "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด ที่ปฏิบัติการสุดรวดเร็วคว้าตัว อเกวโร่ มาร่วมทีมได้ตัดหน้าทีมอื่นๆ อีกนับสิบที่หวังจะได้กองหน้าพรสรรค์รายนี้เช่นกัน

แต่ถึงทางด้าน อินดิเพนเดียนเต้ ยังได้ปฏิเสธข่าวนี้ในทีแรก แต่ อเกวโร่ กลับให้สัมภาษณ์ต่อหน้าทีวีในอาร์เจนติน่าว่า "แม้ผมจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ แต่นี่ก็อาจจะเป็นประตูสุดท้ายของผมและเป็นเกมสุดท้ายของผมกับทีมแล้ว" จากนั้นในวันที่ 30 พ.ค. 2006 ก็มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่า แอตเลติโก มาดริด ได้ตกลงซื้อ อเกวโร่ ไปร่วมทีมโดยไม่มีการเปิดเผยค่าตัว แต่คาดกันว่าจะอยู่ที่ราว 15 ล้านปอนด์ (ราว 750 ล้านบาท) ซึ่งทำให้ อเกวโร่ เป็นนักเตะที่แพงที่สุดของสโมสรไปโดยปริยาย

      

       อย่างไรก็ตามผลงานในฤดูกาลแรกของ อเกวโร่ ในบิเซนเต้ กัลเดร่อน ไม่สวยงามนัก เมื่อไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสไตล์การเล่นของทีมได้ดีเท่าไหร่ โดยเฉพาะไม่สามารถจับคู่กับกัปตันอย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส ศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งของทีมได้ และไม่ใช่แค่ผลงานส่วนตัวไม่เข้าตา ผลงานของทีมก็ไม่เข้าฟอร์มด้วยเหมือนกัน แต่กระนั้น "เอล กุน" ก็ยังสร้างชื่อได้จากการทำประตูที่เหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นลูกยิงในมุมที่เหลือเชื่อในเกมโคป้า เดล เรย์ นัดกับ เลบานเต้ หรือในเกมที่บุกไปยันเสมอกับ บาร์เซโลน่า ได้ถึงคัมป์ นู ที่วิ่งแซง การ์เลส ปูโยล กัปตันบาร์ซ่าเข้าไปรับลูกจ่ายทะลุช่องก่อนยิงผ่าน บิคตอร์ บัลเดส อย่างเหนือชั้น

ต่อมาในฤดูกาล 2007-08 เนื่องจาก เฟร์นานโด ตอร์เรส ได้ย้ายไปร่วมทีม ลิเวอร์พูล ทำให้ อเกวโร่ ต้องกลายเป็นตัวตายตัวแทนและเป็นเสาหลักในแดนหน้าของทีม ด้วยวัยเพียง 19 ปี เท่านั้น ซึ่งเขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการกดไปถึง 19 ประตู ช่วยให้ แอตเลติโก มาดริด จบด้วยอันดับที่ 4 และสามารถผ่านเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี  และในฤดูกาล 2008-09 อเกวโร่ ก็ได้เปลี่ยนคู่หูมาเป็น ดีเอโก้ ฟอร์ลัน ศูนย์หน้าทีมชาติอุรุกวัย และทั้งคู่ก็ประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงประตูกันได้อย่างถล่มทลาย จนทำให้  แอตเลติโก มาดริด จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 อีกครั้ง และผ่านเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน

       ส่วนในฤดูกาล 2009-10 นับเป็นฤดูกาลที่ดีของ อเกวโร่ เพราะเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก มาครองได้สำเร็จ หลังจากตกรอบแบ่งกลุ่มของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแข่งในถ้วยนี้ ด้วยเอาชนะ ฟูแล่ม 2-1 ในช่วงต่อเวลา ซึ่งเขาเป็นคนผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูทั้ง 2 ลูก และเขาก็เป็นคนพาทีมเข้าชิงชนะเลิศในศึกโคปา เดล เรย์ แต่น่าเสียดายที่ต้องพ่ายแพ้ต่อ เซบีย่า ไป ต่อมาในวันที่ 27 สิงหาคม 2010 อเกวโร่ พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ด้วยการเอาชนะ อินเตอร์ ไป 2-0

ฤดูกาล 2010-11 เป็นฤดูกาลที่ อเกวโร่ ประสบความสำเร็จมากที่สุดกับ แอตเลติโก มาดริด เมื่อเขายิงได้ถึง 20 ประตูใน ลา ลีก้า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในชีวิตการค้าแข้งของเขา แต่แล้วในวันที่ 23 พฤษภาคม 2011 อเกวโร่ ได้ประกาศผ่านเวบไซต์อย่างเป็นทางการของตัวเขาว่า เขาต้องการที่จะย้ายออกจากถิ่น บิเซนเต้ กัลเดร่อน และเรียกร้องให้สโมสรปล่อยตัวเขาออกจากทีม จนกระทั่งในวันที่ 28 กรกฏาคม 2011 ก็เป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กระชากตัวเขาไปร่วมทีม ด้วยค่าตัว 38 ล้านปอนด์ (ราว 1,900 ล้านบาท)

        ในฤดูกาล 2011-12 อเกวโร่ ใส่เสื้อเบอร์ 16 ลงสนามให้กับ "เรือใบสีฟ้า" เป็นครั้งแรกในศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ นัดที่เอาชนะ สวอนซี 4-0 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2011 ซึ่งเขาถูกส่งลงมาในฐานะตัวสำรอง และสามารถยิงประตูแรกให้กับสโมสรได้ด้วย หลังจากนั้น เขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงให้กับต้นสังกัดใหม่ โดยยิงได้ถึง 30 ประตู จากการลงสนาม 48 นัด รวมในทุกรายการ ช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ได้เป็นสมัยแรกในรอบ 44 ปี ซึ่งเขาก็เป็นคนซัดประตูชัยในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ที่เปิดบ้านเฉือน ควีนส์ปาร์ค 3-2 ในนาทีที่ 94 อีกด้วย

ต่อมาฤดูกาล 2012-13 อเกวโร่ พาทีม "เรือใบสีฟ้า" คว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ ได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ เชลซี ไป 3-2 ที่สนามวิลล่า ปาร์ค แต่หลังจากนั้นก็ถูกอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดทั้งปี ทำให้เขายิงประตูได้แค่ 17 ประตู จาก 40 นัดที่ลงสนาม รวมทุกรายการ และไม่สามารถช่วยต้นสังกัดคว้าแชมป์รายการใดได้สักรายการเดียว ซึ่งช่วงปิดฤดูกาลนั้น มีข่าวลือหนาหูว่า เขาจะย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอลสเปน แต่ อเกวโร่ ก็ออกมาปฏิเสธและบอกว่า เขามีความสุขดีที่อยู่กับ แมนฯ ซิตี้

และล่าสุดในฤดูกาล 2013-14 นี้ อเกวโร่ ไม่ได้ลงซ้อมในช่วงปิดฤดูกาลกับสโมสรเลย เนื่องจากอาการบาดเจ็บหัวเข่า แต่เขาก็สามารถเรียกความฟิตกลับมาลงสนามได้ทันในนัดเปิดฤดูกาลและซัดประตูให้กับทีมเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ไป 4-0 ในตอนนี้ อเกวโร่ ลงสนามให้ แมนฯ ซิตี้ ไปแล้ว 8 นัด ยิงได้ 5 ประตู รวมในทุกรายการ


        สำหรับในนามทีมชาติอาร์เจนติน่า อเกวโร่ สร้างชื่อในฐานะสุดยอดนักเตะดาวรุ่งสายเลือดใหม่ของวงการฟุตบอลโลกในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่รุ่นพี่อย่าง ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า หรือ ลิโอเนล เมสซี่ เคยสร้างชื่อมาก่อน ในรายการนี้ อเกวโร่ ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น และสามารถนำทีม "ฟ้าขาว" คว้าแชมป์ได้โดยเป็นผู้ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศไล่ตีเสมอทีมสาธารณรัฐเช็ก ได้ก่อนจะแซงชนะไป 2-1 คว้าแชมป์ไปครองได้อีกสมัย ผลงานดังกล่าวทำให้ อเกวโร่ ได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์อย่างไม่ต้องสงสัย และยังคว้ารางวัลลูกฟุตบอลทองคำหรือรางวัลดาวซัลโวไปครองด้วยจำนวน 6 ประตู

ส่วนในนามทีมชาติชุดใหญ่ อเกวโร่ ลงสนามเป็นนัดแรกในนัดอุ่นเครื่องที่พบกับทีมชาติบราซิล เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2006 ต่อมา เขาก็ติดทีมไปแข่งโอลิมปิก เกม ที่ปักกิ่ง ในปี 2008 และสามารถพาทีมคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันของทีมชาติอาร์เจนติน่า อีกด้วย หลังจากนั้น อเกวโร่ ก็กลายเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่มาโดยตลอด จนถึงตอนนี้ เขารับใช้ทีมชาติไปแล้วทั้งสิ้น 46 นัด ยิงได้ 19 ประตู

คงไม่มีใครสงสัยในความสามารถของ อเกวโร่ อีกแล้ว เพราะเขาได้แสดงทุกอย่างให้ทุกคนได้เห็นกันแล้ว เหล่าบรรดาสาวก "เรือใบสีฟ้า" ต้องคอยส่งแรงใจแรงเชียร์ให้กับเขากันมากๆ เพราะ "เอล กุน" คนนี้แหละอาจจะเป็นคนที่พา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์รายการต่างๆ มาสู่สโมสรก็เป็นได้







อ้างอิงhttp://www.sport-idol.com/






Read More

Suarez

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม:    หลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ
วันเกิด:    24 มกราคม ค.ศ. 1987 (26 ปี)
สถานที่เกิด:    ซัลโต, ประเทศอุรุกวัย
ส่วนสูง:    1.79 เมตร (5.9 ft)
ตำแหน่ง:    กองหน้า
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน:    ลิเวอร์พูล
หมายเลข:    7
สโมสรเยาวชน
2003-2005    นาซีอองนัล

สโมสรอาชีพ
    ปี                             สโมสร                  ลงเล่น        (ประตู)
2005-2006               นาซีอองนัล                   34           (12)
2006-2007               โกรนิงเงิน                      37           (15)
2007-2011               อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม     160          (111)
2011-ปัจจุบัน             ลิเวอร์พูล                      77           (38)


ทีมชาติ
    ปี                             สโมสร                  ลงเล่น        (ประตู)
2007                       อุรุกวัย ยู20                     4            (2)
2012                       อุรุกวัย ยู23                     4            (3)
2007–ปัจจุบัน            อุรุกวัย                          70           (36)

หลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ (สเปน: Luis Alberto Suárez Díaz) เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย เป็นนักฟุตบอลชาวอุรุกวัย ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ตำแหน่งกองหน้า
ซัวเรซ เกิด ณ เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่เมือง มอนเตวิเดโอ ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซได้เซ็นต์สัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรนาซีอองนัล ของเมืองมอนเตวิเดโอ สโมสรที่ซัวเรสเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของสโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ยิง 35 ประตู จาก 33 เกม ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ โยฮัน ครัฟฟ์, มาร์โก แวน บาสเทน และเดนนิส เบิร์กแคมป์ แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซไปกัดที่ไหล่ของนักเตะพีเอสวี ออสมาน แบคคาล และถูกแบน 7 นัด ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลจากประเทศอังกฤษได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล
ในส่วนของการรับใช้อุรุกวัย ซัวเรสได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่ง บอลโลก ยู20 ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ ทีมชาติโคลัมเบีย และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ในฟุตบอลโลก ปี 2010 ซัวเรซมีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบทีมชาติกานา ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรสและทีมชาติอุรุกวัยได้แชมป์ โคปาอเมริกา ในการแข่งขันนี้ซัวเรสได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกสาวคนแรกที่เมืองบาร์เซโลนา ตั้งชื่อเธอว่าเดลฟินา

สโมสรอาชีพ
นาซีอองนัล
       ซัวเรซเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับทีมในบ้านเกิด ทีมนาซีอองนัล ทีมที่เขาเล่นในระดับเยาวชนมาตั้งแต่อายุ 14 คืนหนึ่งเขาถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ ผู้ฝึกสอนในขณะนั้นปรามเขาว่า เขาจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอีกถ้ายังไม่จริงจังกับการเล่นฟุตบอล  ในเดือนพฤษภาคม 2005 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้ลงเล่นให้สโมสรอย่างเป็นทางการโดยพบกับทีม จูเนียร์ เดอ บารานควิลลา ในการแข่งขันลิเบอร์ตาดอเรส คัพ เขาทำประตูแรกได้ในเดือน กันยายน 2005 และช่วย นาซีอองนัล เป็นแชมป์ อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06 โดยทำได้ 10 ประตู ใน 27 เกม

โกรนิงเงิน
ซัวเรซถูกจับตาจากกลุ่มแมวมองของ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ในตอนที่พวกเขาเดินทางไปประเทศอุรุกวัย เพื่อดูฟอร์มนักเตะอีกคนหนึ่ง ในเกมส์นั้นซัวเรสสร้างสรรค์เกม ยิงจุดโทษ และทำประตูที่สวยงาม หลังเกมนั้น กลุ่มแมวมองสนใจที่จะเซ็นต์สัญญาซื้อ ซัวเรซ หลังจบฤดูกาลนั้นสโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน เซ็นสัญญาซื้อเขาในราคา 800,000 ยูโร ซัวเรซอยากที่จะย้ายไปเล่นที่ยุโรปเพราะว่าแฟนของเขาและภรรยาในปัจจุบัน โซเฟีย บาลบิ ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้เขาต้องรักษาความสัมพันธ์จากการต้องห่างกันเอาไว้ และนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้อยู่ใกล้แฟนสาวมากขึ้น

เอเอฟซีอาแจ็กซ์
ซัวเรซ กับ สโมสรฟุตบอลเอเอฟซีอาแจ็กซ์

ในช่วงปี ค.ศ. 2007 ซัวเรซได้เซ็นสัญญากับ เอเอฟซีอาแจ็กซ์เอาไว้ 4 ปี โดยเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกและบอลถ้วยเกือบทุกนัด และยังได้ถูกเลือกให้เป็นผู้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเอเอฟซีอาแจ็กซ์ อีกด้วย ซัวเรซนำทีมอาแจ็กซ์ คว้าแชมป์แชมป์เอเรดิวีซี่ ของลีกสูงสุดในประเทศ เนเธอร์แลนด์ในช่วงฤดูกาล 2010-2011 และ แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ ในช่วงฤดูกาล 2009-2010 ก่อนที่จะย้ายไปสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลของ พรีเมียร์ลีก ที่ประเทศอังกฤษ ในปลายฤดูกาล 2010-2011

ลิเวอร์พูล
หลุยส์ ซัวเรซ เล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ใน ปี ค.ศ. 2011
       ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ลิเวอร์พูล ได้ซื้อกองหน้ามา 2 คนคือ แอนดี แคร์โรล และ หลุยส์ ซัวเรซ เข้ามาในถิ่นแอนฟิลด์ และได้เซ็นสัญญาให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ถึงปี 2016 โดยซัวเรซได้มีโอกาสลงเล่นตัวจริงค่อนข้างมากถึงแม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูกาล 2010-11 แล้วก็ตาม เคนนี ดัลกลิช ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลได้เห็นความสามารถและความพิเศษของเขาคนนี้ ดัลกลิชเลยให้เขาสวมเสื้อเบอร์ 7 โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ซัวเรซเป็นตำนานของลิเวอร์พูบต่อจากเขาต่อไป เกมแรกที่ซัวเรซได้เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกและเล่นในถิ่นแอนฟิลด์คือการเจอกับ สโต๊ค ซิตี้ โดยซัวเรซทำไป 1 ประตู และทำให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2-0 โดยถูก ส่งลงมาเป็นตัวสำรองและก็ประเดิมประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อลิเวอร์พูล ได้ทันที เรียกว่าเป็นการลดความกดดันทั้งในเรื่องค่าตัวและเบอร์เสื้ออย่างสิ้นเชิง และในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2011 ในนัดที่ ลิเวอร์พูลเปิดรังแอนฟิลด์ตอนรับการมาเยือนของคู่อริ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ถึงแม้ในวันนั้นซัวเรซจะไม่ได้ทำประตูแต่ก็ช่วยจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไป 3-1 ซัวเรซได้จ่ายไป 2 ลูก โดยการทำ แฮตทริกของ เดิร์ค เคาท์ ปีกขวาทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งในเกมนั้นยังต้องหลบซีนตำแหน่ง นักเตะยอดเยี่ยมประจำ เกมให้กับเขาเลยทีเดียว ซัวเรซทำสถิติตลอดระยะเวลา 5 เดือนแรกกับหงส์แดงด้วยการทำไป 4 ประตูจาก 13 เกม และก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของสาวกเดอะ ค็อปได้อย่างเต็มตัว รวมถึง บรรดาเพื่อนร่วมทีมที่เรียงหน้าออกมาชมไม่ขาดสาย และช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล

ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูล ลงเล่นนัดแรกเจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ยิงจุดโทษพลาดในช่วงต้นเกม แต่เขาก็ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะ อาร์เซนอล ถึง เอมิเรตส์สเตเดียม 2-0 ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง 2-0 โดยในปีนี้ ได้สร้างเรื่องฉาวไว้หนึ่งคดี คือกรณีพูดจาเยียดสีผิว เอฟร่า ในเกมที่ต้องพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเดือนตุลาคม ทำให้เขาโดนตัดสินโทษแบน 8 เกม และโดนปรับเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 40,000 ปอนด์

เริ่มต้นฤดูกาล 2012-13 ในวันที่ 7 สิงหาคม 2012 ซัวเรซได้ทำการเซ็นสัญญาระยะยาวกับลิเวอร์พูล ต่อมาในวันที่ 26 สิงหาคม เขายิงประตูแรกในฤดูกาล 2012-13 ในเกมที่เสมอ 2-2 กับแชมป์เก่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แอนฟิลด์ และในวันที่ 29 กันยายน 2012 เขาได้ซัดแฮททริกให้กับลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ลีกในเกมที่ต้องออกไปเยือนนอร์วิช ซิตี้ ซึ่งเป็นการซัดแฮททริกในฤดูกาลที่สองติดต่อกัน


ในวันที่ 6 มกราคม 2013 ซัวเรซใช้มือช่วยในการทำประตูในเกมที่ชนะ แมนส์ฟิลด์ ทาวน์ จากลีกคอนเฟอร์เรนส์ ในเกมเอฟเอคัพ รอบสาม โดยที่กุนซือตาหวาน เบรนแดน ร็อดเจอรส์ ออกโรงปกป้องลูกทีมสุดๆ

ต่อมาในวันที่ 19 มกราคม เขาได้ยิงประตูที่ 7 ใน 3 ครั้งที่พบกับนอร์วิช และทำให้ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะในบ้านได้สำเร็จ 5-0 สัปดาห์ต่อมา ซัวเรซได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเป็นครั้งแรก ในเกมเอฟเอคัพ รอบสี่ ที่ต้องลงสนามพบกับ "หมูชรา" โอลด์แฮ่ม แอตเลติก ซึ่งนัดนัดนั้นลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 2-3 ต่อมาในวันที่ 10 มีนาคม ซัวเรซได้ยิงประตูที่ 50 ได้สำเร็จ ตั้งแต่สวมเสื้อลิเวอร์พูล เป็นประตูแรกของเกม ทำให้ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะในบ้านนัดสำคัญกับสเปอร์สไปได้ 3-2

ในช่วงท้ายสุดของฤดูกาล ซัวเรซเป็น 1 ใน 6 คนที่มีรายชื่ออยู่ใน "นักเตะแห่งปีของนักเตะพีเอฟเอ" เขาได้อันดับที่ 2 ของดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2012-13 ด้วยประตูทั้งสิ้น 23 ประตู และเป็นดาวซัลโวของทีมอีกด้วย จากการยิง 30 ประตูรวมทุกรายการที่ลงแข่งขัน






กรณีการกัดของซัวเรซ ในวันที่ 21 เมษายน 2013 ในเกมที่เสมอกับเชลซี 2-2 ในถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยการกัดไปบริเวณท่อนแขนของ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช จึงทำให้เขานั้นได้รับโทษแบนเป็นจำนวน 10 นัด ยาวตั้งแต่ปลายฤดูกาล 2012-13 ไปจนถึงต้นฤดูกาล 2013-14
เกียรติประวัติ

ระดับสโมสร
นาซีอองนัล
แชมป์อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06
อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
แชมป์เอเรดิวีซี่ ฮอลแลนด์ 2010-11
แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ 2009-10
ลิเวอร์พูล
แชมป์ลีกคัพ 2011-12
ระดับชาติ
ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย
ฟุตบอลโลก 2010 : อันดับ 4
โคปา อเมริกา 2011 : แชมป์
รางวัลส่วนตัว

ซัวเรซ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม ของ โคปา อเมริกา 2011
เอเรดิวีซี่รองเท้าทองคำ : 2009–10
เคเอ็นวีบี คัพดาวยิงสูงสุด : 2009–10
ผู้เล่นแห่งปีของเอเรดิวีซี่ : 2009–10
ผู้เล่นแห่งปีของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม : 2008–09
ดาวยิงสูงสุดของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม : 2008–09,[14]2009–10
โคปา อเมริกา ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน : โคปา อเมริกา 2011
เคยมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักเตะอาชีพ : 2012



อ้างอิงhttp://www.sport-idol.com/
Read More

Adriano


        บราซิลปั้นกองหน้าชั้นดีมาประดับวงการลูกหนังมากมาย และอาเดรียโน่ หัวหอกร่างใหญ่ของอินเตอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ ด้วยโชคชะตาเล่นตลก หรือการทำตัวเองของอาเดรียโน่ก็ไม่ทราบได้ ที่ทำให้เขายังห่างไกลจากคำว่ายอดดาวยิงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่งยุคมาก นัก

เพราะแม้อินเตอร์ ต้นสังกัดของเขาจะคว้าแชมป์เซเรีย อา 3 สมัยซ้อน แต่อาเดรียโน่ได้รับเครดิตน้อยนิด เนื่องจากแทบไม่ได้เป็นตัวหลักของทีม เพราะอาการบาดเจ็บ และความประพฤติเสเพลของเขานั่นเอง



        ย้อนประวัติของดาวยิงร่างใหญ่รายนี้กันก่อน เขามีชื่อเต็มๆ ว่า อาเดรียโน่ เลเต้ ริเบโร่ เกิดวันที่ 17 ก.พ.1982 ที่ริโอ เดอ จาเนโร เขาเริ่มต้นชีวิตค้าแข้งกับทีมเยาวชนฟลาเมงโก้ในปี 1999 และใช้เวลาแค่ปีเดียวในการก้าวสู่ทีมชุดใหญ่

แม้จะเซ็นสัญญากับฟลาเมงโก้ 2 ปี แต่ฟอร์มที่เข้าตา ทำให้อินเตอร์ ยอดทีมในอิตาลีกระชากตัวเขาไปร่วมทัพในฤดูกาล 2001-02

เขายิงประตูแรกให้ทีมงูใหญ่ในเกมอุ่นเครื่องที่เจอกับเรอัล มาดริด อย่างไรก็ดี ด้วยความที่อินเตอร์มีกองหน้าอยู่มากมาย ทำให้พวกเขาส่งอาดรี้ให้ฟิออเรนติน่ายืมใช้งานในปีนั้น

เมื่อเข้าสู่ฤดูกาล 2002-03 อินเตอร์ก็ยังไม่มีที่ว่างให้เขาอีก ด้วยเหตุนี้จึงได้ส่งอาเดรียโน่ไปให้ปาร์ม่ายืมตัว โดยทำสัญญาเป็นเจ้าของในตัวหัวหอกรายนี้ร่วมกัน

และในถิ่นเอ็นนิโอ ตาร์ดินี่ ของจัลโล่บลูนี่เอง ที่ทำให้อาเดรียโน่แจ้งเกิดอย่างเป็นทางการในเซเรีย อา การประสานงานกับอาเดรียน มูตู ดาวยิงโรมาเนียน ทำให้อาดรี้เล่นด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยม ยิง 22 ประตู จากการลงสนาม 36 นัด

สุดท้ายอินเตอร์จึงต้องยอมจ่ายเงินซื้อสิทธิ์ขาดในตัวอาเดรียโน่ และเรียกตัวเขากลับมาใช้บริการอย่างถาวรในปี 2004 โดยเซ็นสัญญากัน 4 ปี

อาเดรียโน่ยิง 15 ประตู จากการลงสนาม 16 นัดในฤดูกาล 2004-05 ว่ากันว่านับตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค. 2004-25 มิ.ย. 2005 เป็นช่วงที่อาดรี้ฟอร์มพุ่งถึงขีดสุดก็ว่าได้

เนื่องจากเขายิงทั้งหมด 40 ประตูจากทุกรายการให้อินเตอร์ จนเดือนกันยายน 2005 ทีมเนรัซซูรี่ตกรางวัลด้วยการต่อสัญญายาวกับเขาถึงปี 2010

อย่างไรก็ดี หลังผ่านพ้นช่วงพีคไปแล้ว หัวหอกแซมบ้ากลับฟอร์มร่วงลงไปดื้อๆ สืบเนื่องจากปัญหาครอบครัวรุมเร้า ทำให้เขาหันหน้าไปใช้ชีวิตเสเพล ดื่มจัด และท่องราตรีกับสาวๆ ไม่ซ้ำหน้า เขาโดนตัดชื่อออกจากทีมชาติบราซิล และสถานการณ์เลวร้ายหนัก เมื่อพ่อของเขาเสียชีวิต ยิ่งทำให้อาดรี้เหมือนขาดเสาหลัก


        เขาปล่อยตัวให้อ้วนเผละ และประพฤติตัวเหลวไหลมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดถูก โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซืองูใหญ่ดร็อปยาว หลังจากมัวแต่ปาร์ตี้หนักในวันเกิดปี 2007 จนขาดซ้อม

มันโช่สั่งเด็ดขาดให้อาเดรียโน่ตั้งใจซ้อมอย่างมืออาชีพ แต่ดูเหมือนดาวยิงเจ้าปัญหาไม่อาจทำได้ ทำให้สุดท้ายแล้ว มัสซิโม่ โมรัตติ ประธานอินเตอร์ส่งตัวอาดรี้กลับไปฟื้นฟูร่างกายและจิตใจที่บ้านเกิดในเดือน พ.ย. 2007

เขาซ้อมกับเซา เปาโล ทีมในลีกแดนกาแฟ และเข้ารับการบำบัดติดเหล้า โดยในช่วงนั้นมีข่าวตลอดว่าเขาจะไปจากอินเตอร์ในช่วงเปิดตลาดรอบสองต้น ปี2008

และสุดท้ายอินเตอร์ก็ทำสัญญาปล่อยอาเดรียโน่ให้เซา เปาโลยืมใช้งานจนจบซีซั่น 2007-08 แม้จะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในช่วงแรกๆ แต่ก็มาดีแตกในตอนหลัง

เมื่ออาเดรียโน่โดดซ้อม และมาสายประจำจนต้นสังกัดสั่งปรับเงิน จนสุดท้ายเซา เปาโล ก็ตัดสินใจปล่อยเขากลับอินเตอร์ โดยไม่สนใจจะเซ็นสัญญาถาวรด้วยอย่างที่ตั้งใจทีแรก

แม้จะมีข่าวลือว่าเขาจะโดนขายหลังจบฤดูกาลที่ผ่านมา แต่สุดท้ายอาเดรียโน่ก็ยังยืนหยัดอยู่กับอินเตอร์ สืบเนื่องจากงูใหญ่ปลด มันชินี่ กุนซือคู่ปรับของเขาออก แล้วตั้งโชเซ่ มูรินโญ่มาทำหน้าที่แทน

อาเดรียโน่เหมือนกลับมาเกิดใหม่ภายใต้การคุมทีมของมูรินโญ่ ในซีซั่นปัจจุบัน เมื่อเขาได้รับโอกาสกลับมาลงสนาม และยิงประตูสำคัญๆ ให้ทีมได้

เกมที่ดีที่สุดของเขาคือแมตช์ที่ชนะโบโลญญ่า 2-1 เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากเขาจ่ายให้ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ดาวยิงเพื่อนร่วมทีมตอกส้นส่งบอลตุงตาข่ายอย่างสวยงาม

ก่อนที่เขาจะสังหารจุดโทษเข้าไปเป็นประตูแรกในเซเรีย อาฤดูกาลนี้ ช่วยให้ทีมชนะหวุดหวิด ซึ่งประตูนี้นับเป็นลูกยิงที่ 100 ในลีกสูงสุดของอิตาลีของตัวเขาเองด้วย

ทุกอย่างทำท่าจะดี หากอาเดรียโน่จะรักษาวินัยเอาไว้ได้ แต่ดาวยิงเจ้าปัญหาก็ยังไม่เลิกนิสัยเสเพล นอกจากจะหนีเที่ยวช่วงบินไปเตะให้ทีมชาติบราซิลจนกลับมารายงานตัวกับสโมสรช้าแล้ว

วีรกรรมล่าสุดของเขาคือออกท่องราตรียันเช้าหลังจบเกมที่ทีมงูใหญ่เสมอเจนัว 10 คน 0-0 เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ผลก็คือเขาโดนมูรินโญ่ดร็อปยาว จนถึงตอนนี้ผ่านเข้าสู่กลางเดือนพฤศจิกายนแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของอาดรี้ที่จะได้ลงสนามให้งูใหญ่

แม้กุนซือจอมโอหังจะบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร อาเดรียโน่จะได้กลับมาลงเล่นในไม่ช้า แต่ก็อยู่ในเงื่อนไขที่ว่า ต้องตั้งใจซ้อมหนัก และทุ่มเทให้เห็นเสียก่อน

อย่างไรก็ดี แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้ลงเล่นให้อินเตอร์ แต่อาเดรียโน่ก็ยังมีชื่อติดทีมชาติบราซิลของกุนซือคาร์ลอส ดุงก้า อย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าแม้จะอาภัพกับต้นสังกัด แต่กับทีมชาติแล้วถือว่าไปได้สวย อาดรี้ยิง 29นัด จากการลงเล่น 49 เกม

เขาเป็นดาวเตะยอดเยี่ยม และเป็นดาวซัลโวสูงสุดประจำศึกคอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ 2005 โดยยิง 2 ประตูช่วยให้บราซิลเอาชนะอาร์เจนติน่าไปได้ถึง4-1 ในนัดชิงชนะเลิศ

แต่ในเวิลด์คัพ 2006 แม้ว่าจะยิงให้ทัพเซเลเซาได้ 2 ลูก แต่บราซิลก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในทัวร์นาเม้นท์นี้ ร่วงรอบสองด้วยการพ่ายต่อฝรั่งเศส 0-1

แม้ตอนนี้เขาจะได้รับความไว้ใจจากดุงก้า ชนิดที่กองหน้าแซมบ้ารายอื่นๆ ที่โชว์ฟอร์มดีกว่าได้แต่มองค้อน แต่อาเดรียโน่ก็ต้องพึงสังวรณ์ไว้เสมอ

เพราะตราบใดที่ยังไม่ได้ลงเล่นให้อินเตอร์ เขาก็มีความเสี่ยงสูงเหลือเกินที่จะต้องหลุดโผ

จึงช่วยไม่ได้ที่มีข่าวลือหนาหูอีกครั้งว่า หากไม่อาจกลับมามีอนาคตกับทีมงูใหญ่ได้ สโมสรในลีกแซมบ้าเท่านั้นที่จะช่วยต่อเส้นทางค้าแข้งของดาวยิงรายนี้ไว้

แต่ดูเหมือนว่า ไม่มีอะไรที่จะสามารถมาเปลี่ยนแปลงตัวเขาได้ทั้งนั้น นับตั้งแต่เสร็จสิ้นภารกิจกับทีมชาติบราซิล ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ ในช่วงต้นเดือน เมษายน เจ้าตัวก็ไม่กลับมารายงานตัวกับทีมอินเตอร์อีกเลย

โดยเหตุผลที่เขาให้ข่าวการหายตัวไปจากทีมอินเตอร์ก็คือ ไม่รู้สึกสนุกกับการเล่นฟุตบอลอีกต่อไปแล้ว และมีความคิดที่จะแขวนสตั๊ดเลยทีเดียว

แต่จริงๆแล้ว แหล่งข่าววงในที่ได้ข่าวมาจากเพื่อนสนิทของตัวอาเดรียโน่เองบอกว่า จริงๆแล้วตัวเขานั้นไม่มีความสุขกับการเล่นฟุตบอลอาชีพที่อิตาลี ทำให้เขาไม่อยากที่จะกลับไปเล่นที่นั่นอีกแล้ว สิ่งที่อาเดรียโน่ต้องการคือใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบๆที่บราซิลต่างหาก

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ทีมอินเตอร์ มิลาน ยกเลิกสัญญาอาเดรียโน่เป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 24 เษายน 2009 ซึ่งทำให้อาเดรียโน่ดีใจเป็นอย่างมาก เพราะอีกสองเดือนสัปดาห์ วันที่ 6 พฤษภาคม อาเดรียโน่ก็ได้แถลงข่าวเปิดตัวกับทีมเฟลมเมนโก ไปที่เรียบร้อยโรงเรียนเฟลมเมนโก


ภายใต้ยูนิฟอร์มลายแดงคาดดำ อาเดรียโน่ลงสนามไปแล้วทั้งสิ้น 4 นัด ยิงได้ 4 ประตู โดยประตูแรกของเขากับทีมนั้นทำได้เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2009 ซึ่งทีมที่เป็นเหยื่อฝีเท้าของเขาก็คือ ทีมแอตเลติโก ปาราแนนเซ ในฟุตบอลลีกบราซิล และมาทำได้อีกทีคือการซัดแฮทริคช่วยให้ทีมถล่มชนะอินเตอร์นาซิอองนาล ไปได้ 4-0

สิ่งหนึ่ง ที่ทำให้อาเดรียโน่มีปัญหาต่างๆนานา ก็เพราะเขาเป็นนักเตะที่มีโลกส่วนตัวสูง ทนแรงกดดันต่างๆไม่ค่อยได้(ขี้น้อยใจ) รวมถึงมีปัญหาการติดแอลกอฮอล์ขนานหนักอีกด้วย





อ้างอิงhttp://www.sport-idol.com/
Read More